ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก 2007

เสียงคุยของฉันกับฉันเอง

เดิน..... ฉันเดินหันหลัง และจากไปด้วยความเดียวดาย สองเท้าของฉันเดินไป เพราะถ้าไม่เดินฉันคงทรุดลงที่ตรงนั้น สองมือของฉัน ซุกลงในกระเป๋ากางเกง เพื่อหาความอบอุ่นที่มีอยู่เพียงน้อยนิด ไหล่ทั้งสองข้างห่อตัว เพื่อโอบอุ้มหัวใจดวงน้อย ที่เจ็บช้ำ ที่ซ้ำรอยเดิม สองตาของฉัน มันดูพร่ามัว ไปทันใด คงเพราะมีอะไรมาเอ่อที่ขอบตา หัวใจหนึ่งดวงน้อยรู้สึกหนาวและร้าว มากนัก ความรุ้สึกที่เหมือนไม่มีใคร ความู้สึกที่มีคนเพียงคนเดียวในโลกนี้ ทุกก้าวเดิน ที่เดินไปดูเหมือนนานแสนนาน เชื่องช้า แต่ทำไมนะ น้ำตาหายไปไหน ทำไมไม่ไหลลงมาเป็นเพื่อนฉันหน่อยละ ใช่สินะ มันแห้งไปนานแล้ว หรือ มันเจ็บจนชาในใจนะ มันเป็นความู้สึกที่เรียกว่า ความเหงากัดกินใจ ฉันคงแย่มากเลยสินะ เพราะในทางเดินของฉันไม่มีใครอยากก้าวเข้ามา เลยมันน่ารำคาญ น่าเบื่อ ไม่น่าฟัง หรือมัน.....มันไม่มีใครอยากฟัง สิ่งที่อยากเล่า มันคือสิ่งที่รบกวนเวลา..... นั่นสิ ใครเล่าอยากรับรู้ปัญหาของคนอื่น และฉันก็คงทำตัวน่าเบื่อ ไร้สาระ งี่เง่า ดังน้นเมื่อฉันเดินจากไปทุกคนคงรู้สึกดีขึ้น สบายขึ้น ใช่ปัญหาของฉัน ก็คือเรื่องของฉัน ฉันต้องแก้ไขด้วยฉันเอง แค่ฉันอยากหาใครสักคน

สุดท้าย

สุดท้ายก็ไม่มีใคร สุดท้ายก็ไม่มีมา สุดท้ายน้ำตาก็ไหล สุดท้ายในหนึ่งชีวิต สุดท้ายไม่คิดคบกัน สุดท้ายฉันก็เดียวดาย สุดท้ายก็เจ็บรอยช้ำ สุดท้ายก็ซ้ำรอยเก่า สุดท้ายเราก็จากลา สุดท้ายมาเป็นกี่ครั้ง สุดท้ายครั้งที่เท่าไหร่ สุดท้าย...คงเป็นครั้งสุดท้าย

น้ำตาที่เหงียบเหงา

อยากจะหลั่งรินไหลสายกรรแสง อยากอ่อนแรงซบหมอนระบายไหล ที่กักเก็บมานานในหัวใจ ที่ทำให้ใจเศร้าเหงาเต็มที ที่สั่งสมกดดันเกมส์ชีวิต พรั่งพรูคิดอ่อนล้าระบายหนี น้ำนัยน์เนตรซึมซับทุกข์ชีวี เหลือเกินมีเก็บกักล้นออกตา อยากหัวเราะเฮฮากับความเงียบเหงา อยากพูดคุยกับเงาอยากปรึกษา อยากร่ำรวยด้วยที่เราว่างเวลา อยาก....เล่าเรื่องที่เจอมา ให้เธอฟัง ไปกันไหมในที่มีเธอกับฉัน ที่ที่มัน เวลา ไม่กักขัง ที่ที่มีเราอยู่เพียงลำพัง ที่เรานั่งคุยกัน ยามเย็น ๆ

รักแม่

มะลิซ้อนซ่อนกลีบซ่อนกลิ่นหอม กลิ่นพยอมอุ่นรักกรุ่นหอมหวน บริสุทธิ์สะอาดขาวราวเนื้อนวล หอมรัญจวนครวญรักคุณมารดา ฝากกลิ่นหอมแห่งรักข้ามฟ้าฟาก คณามากแทนคำคนึงหา แทนคำถ้อยร้อยคำนึงจำนรรจา แทนคำว่า "รักแม่" จากแดนไกล เนื่องในโอกาสวันแม่ 12 สิงหาคม 2550

สิ่งที่กำหนดไว้

ทางเลือก ต้องเลือก จำเป็นไหม ทางไป ต้องไป เท่านั้นหรือ ทางตัน นั้นตัน หรือแค่ลือ สิ่งไหนคือ ควรเลือก แล้วก้าวไป เลือกทางซ้าย สุดท้าย อาจออกขวา เลือกจะเที่ยว ตื่นมา ฟ้าไม่ใส ถูกกำหนด ก่อนหน้า ไว้อย่างไร ถึงเลือกไว้ ก็ต้องจบ อย่างที่เป็น ไม่ต้องเลือก แต่ทำให้ ดีที่สุด ตั้งใจขุด แรงขยัน มาให้เห็น ตั้งใจค่อย คิดดำเนิน อย่างใจเย็น ทำที่เน้น เต็มที่ ตามแรงเรา

เวลา ความเหงา และความกดดัน

อยากจะหลั่งรินไหลสายกรรแสง อยากอ่อนแรงซบหมอนระบายไหล ที่กักเก็บมานานในหัวใจ ที่ทำให้ใจเศร้าเหงาเต็มที ที่สั่งสมกดดันเกมส์ชีวิต พรั่งพรูคิดอ่อนล้าระบายหนี น้ำนัยน์เนตรซึมซับทุกข์ชีวี เหลือเกินมีเก็บกักล้นออกตา อยากหัวเราะเฮฮากับความเงียบเหงา อยากพูดคุยกับเงาอยากปรึกษา อยากร่ำรวยด้วยที่เราว่างเวลา อยาก....เล่าเรื่องที่เจอมา ให้เธอฟัง ไปกันไหมในที่มีเธอกับฉัน ที่ที่มัน เวลา ไม่กักขัง ที่ที่มีเราอยู่เพียงลำพัง ที่เรานั่งคุยกัน ยามเย็น ๆ

คน ค่าย และเวลา

เวลาผ่านพ้นเห็นความเปลี่ยนแปลง เคยร่วมลงแรงนานนับหนักหนา เกิดก่อเด็กใหม่แรกก้าวย่างมา ทดแทนตัวข้าที่พ้นออกไป "ค่ายสร้างคน คนสร้างค่าย" หลายชีวิต บางคราเมื่อคิดมีจิตสงสัย อีกนานต่อไปจะสักเท่าไร รู้เห็นเป็นไปอีกนานไหมหนา

ลม ฝน และต้นไม้

สบัดโบก โชยปลิว พลิ้วลมเล่น อากาศเย็น พัดผ่าน เล่นลมไล้ ฟ้าครึมฝน ม่านเมฆ เต็มฟ้าไกล มองเหม่อไป ล่องใจ ไกลตามลม หลับตาลง ฟังลมผ่าน แมกหมู่ไม้ เอนทิ้งกาย อิงโคน แสนสุขสม หยุดความคิด ในภวังค์ ดิ่งลึกจม ลืมความขม ขื่นเศร้า เหงาอุรา โปรยต้องกาย ละอองเย็น สายวสันต์ หมายกล่อมฝัน ชื่นชุ่ม เย็นหนักหนา อ่อนโยนแสง ไล้ผิว ต้องกายา โอ้เวลา อย่าเร่ง รีบก้าวเดิน

สักวันคงรู้ตัว

นานนัก นับแต่ จำความ มิยล ในงาม ที่เห็น ทบทวน ที่หวัง อยากเป็น หวังเช่น ตรึงตา ตรึงใจ นางหนึ่ง เป็นเช่น นางฝัน นางหนึ่ง สัมพันธ์ สหาย นางหนึ่ง เผื่อไว้ ข้างกาย นางหนึ่ง ดั่งตาย จากกัน รู้ดี นางใด ควรคิด สนิท หรือคบ สุขสันต์ รอเพียง เวลา และวัน หวังมัน กระจ่าง ชัดเจน

เผลอ

เผลอนึก เผลอคิด และเผลอไป เผลอใจ เผลอรัก และเผลอตัว เผลอหวัง เผลอฝัน เผลอพลั้งกลัว ใจตัว เผลอนัก มักปวดใจ

หนึ่งเดียว

ความเงียบเหงา ท่ามกลาง นครใหญ่ กร่อนกินใจ เหน็บหนาว เปลี่ยวหนักหนา เหลียวแลมอง ขวาซ้าย ไร้กายา ไม่เห็นหน้า เพื่อนคิด มิตรสักคน ไร้แม้เสียง แว่วจำนรร ความคิดถึง สักแม้หนึ่ง มโนวาด ภาพเวหน เงียบเหงาเหน็บ หนาวสงัด กินใจตน แสนอับจน อาภัพ ไร้คู่เคียง

พัก.....ใจ

เหนื่อยใจนักใจหนักด้วยภาระ เมื่อไหร่นะใจพักให้คลายล้า ท้อฤทัยหนักในอกหน่วงอุรา ไม่รู้ว่างานสิ้นลงเมื่อใด ซับซ้อนยุ่งยากไม่จบสิ้น สุดโหดหินไม่เห็นหนทางไหน อยากพักหลบพักกายแลพักใจ แล้วค่อยไปลุยงานให้จบกัน

วงเวียนทราย

ทรายเอ๋ยทราย เกิดก่อ จากหินผา กาลเวลา ธารา เซาะแก่งหิน แม้พายพัด ซัดผ่าน เป็นอาจิน แปรเป็นดิน หินแกร่ง ยังเปลี่ยนไป ดินเอ๋ยดิน โถมทับ ถมตัวเจ้า ต่างอัดเอา แรงทับ นับสงขัย แปรเป็นหิน เกิดก่อ อีกคราใด ตระหง่านไว้ ต้านสู้ กาลธารา จากหินแกร่ง เป็นทราย สาดเซาะซาบ จากทรายหยาบ สู่เนื้อเนียน ยิบหนักหนา แปรเป็นดิน ทับถม ตามเวลา เป็นภูผาหินแกร่งสู้แรงลม ชี้ให้เห็น สิ่งใดล้วน เกิดในโลก ต่างมีโชค ตั้งอยู่ เคียงคู่สม แล้วย่อมถึง วันดับ ลับเสื่อมจม ด้วยเพราะคม เวลา แปรเปลี่ยนไป

HOPE(less)

แสนคิดถึงดวงใจที่ไกลห่าง ช่างอ้างว้างดั่งดาวที่เคยเห็น คืนทะเลแห่งทรายที่หนาวเย็น ใครฤาเป็นหนึ่งเดียวเหงาอุรา รอเฝ้ารอสิ่งรอมิมีหวัง สิ่งที่ยังไม่มีเคียงเคหา หวังไว้ว่าฟ้าคงประทานมา เคียงกายาสักหนึ่งก็คงดี

ผ่านกาลและเวลา

สุรีย์แสงส่องผ่านด่านราศี นับเลื่อนปีเคลื่อนพ้นจอนักษา เวียนวนผ่านสายธารแห่งเวลา ที่เตือนว่าทุกนาทีไม่รอใคร อีกปีแล้วสงกรานต์แก้วเวียนมาพบ ครบบรรจบอีกรอบนับอสงไขย เร่งจงทำบัดนี้ดีเกินใจ อย่ารอให้แก้ไขจะเสียงาน เรียนเพื่อรู้ ทำเพื่อเรียน เขียนเพื่ออ่าน ผิดพลาดงาน เรียนจำ เป็นคำขาน อย่าผิดซ้ำ ปรับปรุง ให้ได้การ อย่าหมดไฟสืบสานงานต้องทำ เรียนรู้ค่ายคือชีวิตโลกใบเล็ก ยามเยาว์เด็ก ชีวิตแสนขบขำ เรียนรู้ผ่านเวลาน่าจดจำ ถอดเป็นคำ ถึงทุกคน คนห้องค่าย .....:D

ถามใจตน

ไม่มีใคร รู้ใจดี กว่าตัวหรอก ............ ไม่มีบอก ใจตน เท่าตนถาม ตัวย่อมรู้ ทันจิต คิดติดตาม ............ งามไม่งาม ใจตน ย่อมรู้ดี อยากเดินหน้า ถอยหลัง หรือหลบเลี่ยง ...... ยากจะเบี่ยง ว่าสุข หรือทุกข์หนี ชอบหรือรัก เร่งค้นใจ อย่ารอรี ........... แล้วทำที่ ใจสุข แค่นั้นพอ แม้คิดหลบ ถอยหลัง ไม่สู้หน้า ........... แต่ทว่า ใจทุกข์ แสนหนักหนอ จะทำไป ทำไม ใยมิรอ ................ ให้ใจทอ กำลัง กล้าสู้ไป

เงียบงัน

เงียบเหงาวังเวงวิเวกผู้ ไร้สิ่งคู่เชยชิดคิดห่วงหา ไร้แว่วเสียงสำเนียงจำนรรจา ไร้แก้วตาจึ่งมืดมิดไม่เห็นใคร

ความหลัง

วันนี้มาท่องเที่ยวจากแดนไกล มาหวนไห้รำลึกถึงความหลัง อ่านแล้วแสนคิดถึงครั้งเมื่อยัง เต็มพลังตอนเด็กสดใสครัน โอ้เวลาผ่านมานานนับสิบ เหลือเพียงหยิบความทรงจำที่สุขสันต์ มิรู้ว่ามีใครไหมจะจำวัน ยามเมื่อฉันได้บันทึกถ้อยบทกลอน อยากให้ช่วยทายสักนิดฉันใครเอ่ย ใครช่วยเผยสักหน่อยคลายคำหลอน ใครหนอช่างบันทึกเป็นถ้อยตอน ยามก่อนนอนคิดหน่อยคงฝันดี

วันเกิด

ในวันนี้ เมื่อยี่สิบ เจ็ดปีก่อน มีคนนอน เจ็บครรภ์ มากหนักหนา เพื่อกำเนิด เกิดบุตร เป็นแก้วตา เมื่อพบหน้า สุขยิ่ง กว่าสุขใด ในวันนี้ ขอให้สุข ดั่งสุขนั้น เปรมปรีครัน ปรีดายิ่ง กว่าคราไหน แล้วอย่าลืม ผู้ที่เจ็บ อย่างสุขใจ จงทำให้ เธอสุข ทุกเพลา

รัตนพร

อาราธนาคุณพระศรีรัตนไตร ประสิทธิชัยนำพรประศาสน์สุข ประสงค์หวังรัตนแก้วมณีมุก ประสบทุกสิ่งเลิศหทัยปอง ประดับยศยิ่งล้ำราชจักร ประดุจศักดิ์คชสีห์ประกาศก้อง ประทับถิ่นแมนมิ่งโกเมนทอง ประคองกายพละแกร่งทุกแห่งยาม